วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน

การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน


ผู้จัดทำด.ช.บุญรักษ์              จงใจสุรธรรม            ชั้น ม.2/2  เลขที่ 12ด.ช.อัมรินทร์             ทองเรือนดี      ชั้น ม.2/2  เลขที่ 21ด.ญ.มณฑาทอง         สว่างศรี         ชั้น ม.2/2  เลขที่ 28ด.ญ.มณฑาทิพย์         สว่างศรี         ชั้น ม.2/2  เลขที่ 29  การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสื่อสารและการนำเสนอ(IS) รหัสวิชา120202โรงเรียนกาญจนาภิเกวิทยาลัย สุพรรณบุรีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต9





ชื่อเรื่อง         การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน
ผู้ศึกษา          ด.ช.บุญรักษ์      จงใจสุรธรรม     เลขที่    12     
ด.ช.อัมรินทร์     ทองเรือนดี       เลขที่    21     
ด.ญ.มณฑาทอง  สว่างศรี           เลขที่    28     
ด.ญ.มณฑาทิพย์  สว่างศรี           เลขที่    29
ครูที่ปรึกษา     นางรัตนา  นวีภาพ
ระดับการศึกษา         นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี
รายวิชา         การสื่อสารและการนำเสนอ ( Independent Study : IS2)
ปีการศึกษา     2558
บทคัดย่อ
          การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาทดลองทำอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาดุก และเปรียบเทียบว่าอาหารปลาดุกที่ขายตามท้องตลาดกับที่ทำขึ้นมาเองชนิดไหนที่ทำให้ปลาดุกเจริญเติบโตดีกว่ากัน และเพื่อศึกษาวิธีทำอาหารปลาดุก
          กลุ่มตัวอย่างเป็น ปลาดุกสายพันธุ์รัสเซีย จำนวน 50 ตัว โดยซื้อและเลือกปลาที่อายุ ขนาดเท่าๆกัน วัสดุส่วนผสมที่ใช้ทำอาหารประกอบด้วยรำละเอียด ปลาป่น ปลายข้าว บ่อเลี้ยงปลา และปลาดุก บันทึกข้อมูลโดยใช้สถิติการเจริญเติบโตของปลาดุก
ผลการศึกษาพบว่า อาหารปลาที่ซื้อ สามารถทำให้ปลาดุกเจริญเติบโตได้ดีกว่าที่ทำขึ้นเอง




กิตติกรรมประกาศ
            การศึกษาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี เพราะได้รับความกรุณา แนะนำ ช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งจาก  อาจารย์รัตนา นวีภาพ ที่ให้การช่วยเหลือ ซึ่งผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งและเป็นพระคุณอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
             สุดท้ายขอบคุณ อาจารย์ที่ให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ทำให้การศึกษาครั้งนี้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วและขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลืออีกหลายท่าน ซึ่งไม่สามารถกล่าวนามในที่นี้ได้หมด
                                                                                  คณะผู้ศึกษา
มกราคม 2559




สารบัญ
เรื่อง                                                                                                    หน้า

บทคัดย่อ.......................................................................................................................ข
กิตติกรรม .....................................................................................................................ค
สารบัญ..........................................................................................................................ง
บทที่
          บทที่ 1 บทนำ
                   -ที่มาและความสำคัญ................................................................................................... 1
-วัตถุประสงค์................................................................................................................ 1
-ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.......................................................................................... 1
-สมมติฐาน.................................................................................................................... 2
-ขอบเขตการศึกษา....................................................................................................... 2
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
                   -ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปลาดุก.................................................................................... 3
                   -อาหารปลาดุก............................................................................................................. 10
                   -วิธีทำอาหารปลาดุก.................................................................................................... 11
                   -คุณค่าทางโภชนาการของปลาดุก...............................................................................  13
          บทที่ 3 อุปกรณ์ และการทดลอง
                   -อุปกรณ์....................................................................................................................... 15
                   -การดำเนินการทดลอง................................................................................................. 15
                   -การเตรียมบ่อ และเลี้ยงปลา....................................................................................... 17
         
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
                   -ตารางบันทึกผล........................................................................................................... 18
          บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล
                   -วัตุประสงค์ของการศึกษา.............................................................................................. 20
                   -สมมติฐานของการศึกษา................................................................................................ 20
                   -ขอบเขตการศึกษา.......................................................................................................... 20
                   -วิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................... 20
                   -สรุปผลการศึกษา............................................................................................................ 21
                   -การอภิปรายผล............................................................................................................... 21
                   -ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................... 21
บรรณานุกรม...................................................................................................................... 22
ภาคผนวก........................................................................................................................... 23




บทที่    1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
          เนื่องจากปัจจุบันมีเกษตรกรที่เลี้ยงปลาควบคู่กับการเพาะปลูก เพื่อสร้างอาชีพเสริม รายได้เสริม และใช้พื้นที่การเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุด  และเป็นการเพิ่มคุณค่า แร่ธาตุ สารอาหารให้แก่ดิน นอกจากนี้ยังเป็นการปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย
          ในการเลี้ยงปลา เราต้องคำนึงว่า ปลาที่จะเลี้ยงนั้นกินอาหารประเภทไหน แต่ปัจจุบันเกษตรกรมักเลี้ยงปลาด้วยอาหารปลาสำเร็จรูป ซึ่งปลาดุกที่เราศึกษานั้นเป็นปลากินเนื้อ และคาร์โบไฮเดรต คณะผู้จัดทำจึงศึกษาวิธีการทำอาหารปลาดุกจาก ปลายข้าวสุก รำ และปลาป่น เนื่องจากหาง่าย ประหยัด มีคุณค่าทางอาหาร เหมาะสมกับปลาที่จะเลี้ยง และไม่เป็นอันตรายกับสิ่งแวดล้อม
            คณะผู้จัดทำ จึงศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และสามารถช่วยเกษตรกรลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์
วัตถุประสงค์
          1.เพื่อศึกษาวิธีการทำอาหารปลา
2.เพื่อศึกษาและทดลองว่าอาหารปลาตามท้องตลาดกับอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง ชนิดไหนที่ปลาเติบโตได้ดีกว่ากัน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
          1.ลดใช้ค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้
          2.ใช้เป็นอาชีพเสริมได้


สมมติฐานของการศึกษา
          ถ้าอาหารปลาที่ทำเองดีกว่าอาหารปลาที่มีตามท้องตลาดแล้วปลาที่กินอาหารปลาที่ทำเองจะเจริญเติบโตดีกว่าปลาที่กินอาหารที่มีตามท้องตลาด
ขอบเขตการศึกษา
          จำนวนปลาตัวอย่าง 50 ตัว แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 25ตัว




บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเนื้อหาของเอกสารงานวิจัย ออกเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้                                                                                                          
1.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปลาดุก
2.อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาดุก
3.วิธีทำอาหารปลาดุก
4. คุณค่าทางโภชนาการของปลาดุก
                   1.1 สายพันธุ์ปลาดุก
ในประเทศไทยมีพันธุ์ปลาจำพวกปลาดุกอยู่หลายพันธุ์  แต่ที่รู้จักและนิยมบริโภคกันมากมีอยู่ 4 พันธุ์ คือ ปลาดุกด้าน ปลาดุกอุย  ปลาดุกบิ๊กอุย และปลาดุกเทศ  ปลาดุกยักษ์หรือปลาดุกรัสเซีย


ปลาดุกด้าน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias batrachus มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ดุกเลา ดุกเอ็น ดุกเผือก พบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เป็นปลาไม่มีเกล็ด ไม่มีครีบไขมัน ฐานของครีบหลังยาวเกือบตลอด ส่วนหลังมีครีบหลังครีบก้นและครีบหางแยกออกจากกัน ที่ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง แต่มีครีบอ่อนจำนวนมาก มีพุ่มดอกไม้อยู่ในโพรงกะโหลก ส่วนหัวเหนือช่องเหงือกทั้งสองเพื่อช่วยในการหายใจ และที่ครีบอกมีก้านครีบ( เงี่ยง ) แข็งข้างละ 1 อัน ลักษณะกลมใหญ่ปลายแหลมเป็นหยักทั้งสองข้าง ลำต้นมีสีเทาปนดำหรือน้ำตาลปนดำ บริเวณท้องมีสีค่อนข้างขาว  เป็นปลาที่มีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายได้ดี สามารถเลี้ยงรวมกันได้เป็นจำนวนมาก เลี้ยงง่าย โตเร็ว อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำไหลและน้ำนิ่ง

ปลาดุกอุย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias macrocephalus เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว พบได้ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไปๆ สีของลำตัวค่อนข้างเหลือง มีจุดประตามด้านข้างของลำตัวประมาณ  9-10 แถบ แต่เมื่อโตขึ้นจะเลือนหายไป ผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะบริเวณอกถึงครีบท้อง ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ส่วนปลายกระดูกท้ายทอยป้านและโค้งมนมาก กะโหลกจะลื่นมีรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย มีหนวด 4 คู่ โคนหนวดเล็ก ปากไม่ป้านค่อนข้างมน ครีบอกมีครีบแข็งข้างละ 1 ก้าน (เงี่ยง) มีลักษณะแหลมคมยื่นยาวเกินหรือเท่ากับครีบอ่อน ครีบหลังมีก้านครีบอ่อน 47-52 ก้าน ครีบหางกลมไม่ใหญ่มากนัก มีสีเทาปนดำ ครีบหางไม่ติดกับฐานครีบหลังและครีบก้าน ระยะจากปลายกระดูกท้ายทอยถึงจุดเริ่มต้นของครีบหลังประมาณ1 ใน 5 จากความยาวจากปลายสุดถึงปลายกระดูกท้ายทอย จำนวนกระดูกซี่กรองเหงือกประมาณ 32 ซี่ เนื้อมีสีเหลืองนุ่มมันมาก   ปลาดุกอุยที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ มีนิสัยชอบหาอาหารตามหน้าดิน โดยใช้หนวดที่รับรู้ความรู้สึกได้ดีในการหาอาหารตามพื้นผิวหน้าดิน  ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ปราดเปรียวเคลื่อนไหวว่องไวมาก ชอบกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปที่มีผสมของ รำข้าว ปลายข้าว กากถั่ว และปลายข้าวได้ ทั้งยังฝึกให้ขึ้นมากินอาหารบริเวณใกล้ผิวน้ำได้ด้วย
ปลาดุกบิ๊กอุยหรือปลาดุกอุยเทศ เป็นปลาดุกลูกผสม เกิดจากการผสมเทียมข้ามพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกยักษ์กับแม่พันธุ์ปลาดุกอุยลักษณะนิสัยจึงอยู่กลางระหว่างปลาดุกสองพันธุ์นี้  ซึ่งมีลักษณะภายนอก และนิสัยการกินอาหารคล้ายปลาดุกอุยมาก มีผิวค่อนข้างเหลือง โดยเฉพาะลำตัวและหางเห็นรอยจุดประสีขาวของปลาดุกอุยชัดเจนมาก  แต่เมื่อโตขึ้นจุดประนี้จะหายไป  ส่วนกะโหลกท้ายทอยจะแหลมเป็นหยัก 3 หยักเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์ หัวมีขนาดใหญ่ และคอดหางมีจุดประสีขาวเรียงตามขวางในระยะที่ปลายังเล็ก เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ทนทานต่อโรคพยาธิและสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับปลาดุกยักษ์ แต่มีเนื้อคล้าปลาดุกอุย คือ เนื้ออกสีเหลือง นุ่ม รสชาติอร่อย กินอาหารได้แทบทุกชนิด เลี้ยงได้น้ำหนักมากในระยะเวลาสั้น ทำให้เลี้ยงได้หลายรุ่นในรอบปี มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก ในช่วงระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 60 วันจะได้น้ำหนักประมาณ 200-300 กรัมต่อตัว หรือขนาด 4 - 5 ตัว ต่อกิโลกรัม

 ปลาดุกเทศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clarias haripiinus บางครั้งเรียก ปลาดุกยักษ์หรือปลาดุกรัสเซีย  เป็นปลาไม่มีเกล็ด ลำตัวเรียวยาวหัวใหญ่และแบน กะโหลกเป็นตุ่มๆ ไม่เรียบมีรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย กระดูกท้ายทอยมีลักษณะเป็นหยัก 3 หยัก มีหนวด 4 คู่ โคนหนวดใหญ่มีลักษณะป้านและแบนหนา ครีบหูมีเงี่ยงใหญ่ สั้นนิ่ม ไม่แหลมคมและส่วนของครีบอ่อนหุ้มถึงปลายครีบแข็ง ครีบหลังปลายครีบสีแดง และมีแถบสีขาวพาดขวางคอดหาง มีความยาวของลำตัวเป็น 3 เท่าของความยาวส่วนหัว ตัวสีเทาหรือสีเทาอมเหลือง ไม่มีจุดประตามลำตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะปรากฏลายคล้ายหินอ่อนอยู่ทั่วตัว ผนังท้องสีขาวตลอดจนถึงโคนหาง มีการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก สามารถกินอาหารได้แทบทุกชนิด มีความต้านทานโรคและสภาพแวดล้อมสูง เป็นปลาที่ขนาดใหญ่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ 


 1.2วิธีการเลี้ยงปลาดุก
เมื่อปล่อยลูกปลาวันแรกไม่ต้องให้อาหาร  จะเริ่มให้อาหารวันถัดไป  อาหารที่ให้เป็นอาหารลูกปลาวัยอ่อน  พรมน้ำ แล้วนวดจนเหนียวปั้นเป็นก้อนแล้วเสียบกับไม้ปักไว้รอบบ่อปริมาณที่ให้ต้องให้ปลากินหมด  ภายในเวลา  30-60  นาที  โดยให้อาหารประมาณ  1  สัปดาห์      หลังจากนั้นอาจจะให้อาหารปลาดุกเล็กพิเศษแช่น้ำให้นิ้มแล้วปั่นรวมกับอาหารลูกปลาวัยอ่อนให้ปลากิน    เมื่อปลาโตพอกินอาหารเม็ดได้ก็เริ่มให้อาหารปลาดุกเล็กพิเศษอย่างเดียวหว่านให้กินกระจายทั่วบ่อ  ปริมาณที่ให้กะหมดภายใน  30  นาที  ให้กินจนลูกปลาอายุ  1  เดือน   ให้อาหารปลาดุกเล็กโดยให้ในแต่ละมื้อควรให้ปลากินหมดภายใน  30  นาที ช่วงนี้ควรเริ่มฝึกให้ปลากินอาหารเป็นที่   โดยให้อาหารจุดเดิมประจำปละเคาะหลักไม้ทุกครั้งเมื่อมีการให้อาหาร การให้อาหารปลาจะให้  2  มื้อ  ต่อวันให้อาหารปลาดุกเล็กจนลูกปลามีอายุ  2  เดือน  ให้อาหารปลาดุกใหญ่  ปริมาณที่ให้แต่ละมื้อจะต้องให้ปลากินหมดภายใน  30  นาที่  โดยให้อาหาร  2  มื้อ   ในกรณีปลาป่วย  หรือกินอาหารลดลงให้ลดปริมาณอาหารลงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ให้ปกติ
การเลือกสถานที่
ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสถานที่สร้างบ่อเลี้ยงปลา  มีดังนี้
          1.  สถานที่ไม่เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนเกินไป  สามารถจัดระบบน้ำระบายน้ำเข้า-ออกได้ดี
          2.  สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทำเป็นคันบ่อเก็บกักน้ำได้ดี
          3.  สภาพน้ำต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนักหรือยาฆ่าแมลง หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
          4.  ทางคมนาคมสะดวก
การเตรียมบ่อเลี้ยงปลา
มีวิธีการเตรียมบ่อดังนี้
1.  บ่อใหม่
-  ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินในอัตรา  60-100  กิโลกรัม/ไร่  โดยให้ทั่วพื้นบ่อ
-  ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา  200  กิโลกรัม/ไร่  โดยโรยให้ทั่วบ่อ
-  เติมน้ำให้ได้ระดับ  40-50  เซนติเมตร  ทิ้งไว้  3-5  วัน  จนน้ำเริ่มเป็นสีเขียวระวังอย่าให้เกิดแมลง หรือศัตรูปลา        
2.  บ่อเก่า            
-  ทำความสะอาดบ่อลอกเลนให้มากที่สุด             
-  ใส่ปูนขาวอัตรา 60-100  กิโลกรัม/ไร่            
-  ตากบ่อให้แห้ง  ประมาณ  7-15  วัน            
-  นำปุ๋ยคอกใส่ถุงแขวนไว้ตามมุมบ่อประมาณ  60-100  กิโลกรัม/ไร่  เพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติ             
-  เติมน้ำ  40-50  เซนติเมตร  ทิ้งไว้  3-5 วัน  จนน้ำเป็นสีเขียว       
ก่อนปล่อยปลาควรตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำอีกครั้ง  ถ้าไม่ถึง  7.5-8.5  ควรน้ำปูนขาวละลายน้ำสาดให้ทั่วบ่อเพื่อปรับความเป็นกรด-ด่าง  ให้ได้  7.5-8.5
การเตรียมพันธ์ปลา
การเลือกซื้อลูกปลาควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ  ดังนี้
          1.  แหล่งพันธุ์หรือบ่อเพาะฟัก  ควรดูจาก
              -  ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในเรื่องคุณภาพ
              -  มีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์  เพื่อให้ได้พันธุ์ที่มีคุณภาพ
              -  มีความชำนาญในการขนส่งลูกปลา
          2.  ลักษณะภายนอกของลูกปลาต้องปกติสมบูรณ์  ซึ่งสังเกตจาก
              -  การว่ายน้ำต้องปราดเปรียว  ไม่ว่ายควงสว่าน  หรือลอยตัวตั้งฉากพื้นบ่อ
              -  ลำตัวสมบูรณ์  หนวด  หาง  ครีบ  ไม่กร่อน  ไม่มีบาดแผล  ไม่มีจุดหรือปุยขาวเกาะ
              -  ขนาดลูกปลาต้องเสมอกัน
การปล่อยลูกปลาบ่อเลี้ยง
              เมื่อขนส่งลูกปลามาถึงบ่อที่เตรียมไว้ควรแช่ถุงปลาไว้ในบ่อประมาณ  10-15  นาที  เพื่อปรับอุณหภูมิระหว่างน้ำในถุงกับน้ำในบ่อเพื่อป้องกันลูกปลาช็อค ก่อนปล่อยลูกปลาควรมีการทำร่มเงาไว้ในบ่อให้ลูกปลาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย

อัตราการปล่อย
เกษตรกรรายใหม่  ควรปล่อยลูกปลาขนาดปลานิ้ว  จะทำให้อัตราการรอดสูง  อัตราการปล่อย  ปลาขนาด 2-3  เซนติเมตร  ปล่อย  80,000-100,000 ตัว/ไร่  ก่อนปล่อยควรสุ่มนับจำนวนเพื่อตรวจสอบให้รู้จำนวนจริง
อาหารและการให้อาหาร
               ต้นทุนการผลิตปลาประมาณ  80%  เป็นค่าอาหาร  เพราะฉะนั้นการเลี้ยงใช้อาหารเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
การเลือกซื้ออาหาร
ลักษณะของอาหาร
          -  สีสันดี
          -  กลิ่นดี  ไม่เหม็นหืน
          -  ขนาดเม็ดสม่ำเสมอ  ไม่เป็นฝุ่น
          -  การลอยตัวของอาหารในน้ำอยู่ได้นาน
          -  อาหารไม่เปียกชื้น  ไม่จับตัวเป็นก้อน  ไม่ขึ้นรา
ประเภทของอาหารสำเร็จรูป
          -  อาหารสำหรับลูกปลาวัยอ่อน  ใช้สำหรับลูกปลาขนาด  14  เซนติเมตร
          -  อาหารปลาดุกเล็กพิเศษ  ใช้สำหรับลูกปลาขนาด  3  เซนติเมตร 1  เดือน
          -  อาหารปลาดุกเล็ก  ใช้สำหรับปลาอายุ  1-3  เดือน
          -  อาหารปลาดุกใหญ่  ใช้สำหรับปลาอายุ  3  เดือน  -  ส่งตลาด
1.3 สถานที่เลี้ยงปลาดุก
การเลือกสถานที่
ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสถานที่สร้างบ่อเลี้ยงปลา  มีดังนี้
          1.  สถานที่ไม่เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนเกินไป  สามารถจัดระบบน้ำระบายน้ำเข้า-ออกได้ดี
          2.  สภาพดินควรเป็นดินเหนียวสามารถทำเป็นคันบ่อเก็บกักน้ำได้ดี
          3.  สภาพน้ำต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากสารพิษของโลหะหนักหรือยาฆ่าแมลง หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
          4.  ทางคมนาคมสะดวก

การเตรียมบ่อเลี้ยงปลา
มีวิธีการเตรียมบ่อดังนี้
1.  บ่อใหม่
-  ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินในอัตรา  60-100  กิโลกรัม/ไร่  โดยให้ทั่วพื้นบ่อ
-  ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา  200  กิโลกรัม/ไร่  โดยโรยให้ทั่วบ่อ
-  เติมน้ำให้ได้ระดับ  40-50  เซนติเมตร  ทิ้งไว้  3-5  วัน  จนน้ำเริ่มเป็นสีเขียวระวังอย่าให้เกิดแมลง หรือศัตรูปลา        
2.  บ่อเก่า            
-  ทำความสะอาดบ่อลอกเลนให้มากที่สุด             
-  ใส่ปูนขาวอัตรา 60-100  กิโลกรัม/ไร่            
-  ตากบ่อให้แห้ง  ประมาณ  7-15  วัน            
-  นำปุ๋ยคอกใส่ถุงแขวนไว้ตามมุมบ่อประมาณ  60-100  กิโลกรัม/ไร่  เพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติ             
-  เติมน้ำ  40-50  เซนติเมตร  ทิ้งไว้  3-5 วัน  จนน้ำเป็นสีเขียว       
ก่อนปล่อยปลาควรตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำอีกครั้ง  ถ้าไม่ถึง  7.5-8.5  ควรน้ำปูนขาวละลายน้ำสาดให้ทั่วบ่อเพื่อปรับความเป็นกรด-ด่าง  ให้ได้  7.5-8.5

2.อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาดุก
                   2.1อาหารสำเร็จ
อาหารสำเร็จรูป มีระดับโปรตีนที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของปลาที่จะให้ มีหลายยี่ห้อและราคาแตกต่างกันไป วิธีการให้อาหารสำเร็จรูปค่อนข้างง่าย เพียงแต่สาดอาหารลงในบ่อเลี้ยงให้ปลากินก็เสร็จแล้ว แต่การเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปนั้นจะต้องพิจารณาจากความคงทนในน้ำ ควรอยู่ในน้ำได้นานไม่ต่ำกว่า 15 นาที ส่วนประกอบของอาหารควรละเอียด มิฉะนั้นจะย่อยยาก และราคาต้องเหมาะสมด้วย
2.2อาหารธรรมชาติ
 อาหารสด ได้แก่ ไส้ไก่ ไส้ปลา ปลาเป็ด หรือเศษอาหารจากโรงงาน อาหารเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ราคาถูก ควรนำมาใช้เสริมให้แก่ปลาด้วย ก่อนนำมาใช้ควรบดให้ละเอียดและผสมรำ การให้อาหารควรให้กินเป็นที่ และควรให้ที่เดิมทุกครั้ง อย่าสาดทั่วบ่อ เพราะจะทำให้น้ำเสียได้ง่ายขึ้น ติดโรคได้ง่าย การถ่ายน้ำบ่อยครั้งจะทำให้ปลาโตเร็วขึ้น เพราะการที่ปลาได้น้ำใหม่บ่อยๆ ทำให้ปลามีความกระปรี้กระเปร่าและกินอาหารได้มาก
3.วิธีทำอาหารปลาดุก
3.1ส่วนผสมที่ใช้
3.1.1รำ
รำข้าวแยกออกเป็น  2  ชนิด  คือ  รำหยาบและรำละเอียด  รำหยาบมีส่วนผสมของแกลบปน  ทำให้คุณค่าต่ำกว่ารำละเอียดเพราะมีเยื่อใยสูงและมีแร่ซิลิกาปนในแกลบมาก รำเป็นส่วนผสมของเพอริคาร์บ (pericarp) อะลิวโรนเลเยอร์ (aleuron  layer) เยอร์ม  (germ)  และบางส่วนของเอนโดสเปอร์ม (endosperm)ของเมล็ด  รำหยาบมีโปรตีนประมาณ  810  เปอร์เซ็นต์ ไขมันประมาณ 7-          8  เปอร์เซ็นต์  ส่วนรำละเอียดมีโปรตีนประมาณ  1215  เปอร์เซ็นต์  ไขมัน  1213  เปอร์เซ็นต์  รำมีไขมันสูงจึงไม่ควรเก็บรำไว้นานเกิน  1520  วัน  เพราะจะมีกลิ่นจากการหืน  รำข้าวที่ได้จากการสีข้าวเก่ามีความชื้นต่ำทำให้เก็บได้นานกว่ารำข้าวใหม่ที่มีความชื้นสูง เชื้อราขึ้นง่ายและเหม็นหืนเร็ว  ส่วนรำ-ข้าวนาปรัง  อาจมีสารตกค้างของยาฆ่าแมลงปะปนมาด้วย  รำข้าวเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีกรดอะมิ-โนค่อนข้างสมดุล  มีคุณค่าทางอาหารสูง  มีวิตามินบีค่อนข้างมาก  รำที่สกัดน้ำมันออกโดยกรรมวิธีต่าง ๆ  เช่น  รำอัดน้ำมัน  (hydraulic  press)  หรือรำสกัดน้ำมัน  (solvent  extract) จะเก็บได้นานกว่า  และมีปริมาณของโปรตีนสูงกว่ารำข้าวธรรมดา  เมื่อคิดต่อหน่วยน้ำหนัก แต่ปริมาณไขมันต่ำกว่า คุณภาพของรำสกัดน้ำมันขึ้นอยู่กับกรรมวิธีเพราะถ้าร้อนเกินไปทำให้คุณค่าทางอาหารเสื่อม  โดยเพราะกรดอะมิโนและวิตามินบีต่าง ๆ  ปัญหาในการใช้  พบว่ามักมีหินฝุ่นหรือดินขาวปนมา  ทำให้คุณค่าทางอาหารต่ำลง  หรืออาจมียากำจัดแมลง  สารเคมี หรือมีแกลบปะปน
3.1.2ปลาป่น
เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ ให้โปรตีนสูงและมีคุณภาพดี ทำมาจากปลาเป็ดเศษปลาเล็กปลาน้อย   หรือหัวปลาที่เหลือ จากโรงงานทำปลากระป๋อง ทำให้ปลาป่นที่ผลิตได้มีคุณภาพหลากหลาย ดังนั้นในการซื้อขายปลาป่น จึงมีการแบ่งเกรด ตามเปอร์เซนต์โปรตีนในปลาป่น โดยปลาป่นชั้นคุณภาพที่ 1 จะมีโปรตีนไม่น้อยกว่า 60% ปลาป่น ชั้นคุณภาพที่ 2 มีโปรตีนไม่น้อยกว่า 55% และปลาป่นชั้นคุณภาพที่ 3 มีโปรตีนไม่น้อยกว่า 50%

คุณสมบัติ        
1 .มีโปรตีนสูงประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับชนิดของปลาและขั้นตอนการผลิตปลาป่น
2. มีกรดอะมิโน ไลซีน และเมทไธโอนีนสูง
3. มีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง
4. มีไวตามินบีสูง โดยเฉพาะไวตามินบี 12 และ บี 2

ข้อจำกัดในการใช้
1.มีราคาแพง
2.มีการปลอมปนด้วยวัสดุอื่นที่มีราคาถูก อาทิ ทราย เปลือกหอยบด ยูเรีย ขนไก่ เป็นต้น ทำให้คุณค่าทางอาหารลดลง จะต้องระมัดระวังในการนำมาใช้
3.การใช้ปลาป่นระดับสูงเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากจะทำให้อาหารผสมมีราคาแพงแล้วยังมีผลทำให้เนื้อสุกร และไข่กลิ่นคาวปลาด้วย
4.ปลาป่นมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ มีโปรตีนแตกต่างกันมาก ต้องระวังในการเลือกซื้อปลาป่นให้ได้คุณภาพตามต้องการ มิฉะนั้นจะมีผลทำให้สูตรอาหารที่คำนวณไว้ไม่เพียงพอกับความต้องการของสัตว์ได้
                   
3.2ประเภทของอาหารปลา
อาหารปลา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ อาหารสำหรับปลากินพืช และอาหารสำหรับปลากินเนื้อ โดยมีสารอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร เหล็ก ไขมัน รวมถึงปริมาณของความชื้น บรรจุในปริมาณที่แตกต่างกัน โดยที่อาหารสำหรับปลากินเนื้อนั้น จะมีโปรตีนผสมอยู่คิดเป็นร้อยละ 25-30 สูงกว่าปลาประเภทกินพืช ในขณะที่ปลากินพืช ในบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของสาหร่ายสไปรูลีนาเพื่อช่วยในการเร่งสีของปลา และยังแตกต่างกันไปตามประเภทลักษณะการหากินของปลาหรือสัตว์น้ำแต่ละชนิดอีกด้วย
อาหารแบบเม็ดกลม (Round Pellets)
เป็นอาหารประเภทที่คุ้นเคยมากที่สุด มีลักษณะเป็นแบบเม็ดกลม เหมาะสมสำหรับปลาแทบทุกประเภทที่เป็นปลาสวยงามส่วนใหญ่ เช่น ปลาคาร์ป ปลาทอง ปลาหมอสี กรรมวิธีการผลิตนั้น เริ่มจากการทำให้วัตถุดิบสุกด้วยความร้อน จากนั้นจึงผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันโดยเครื่องจักรสำหรับบดอาหาร และอบภายใต้อุณหภูมิสูง ซึ่งการผลิตอาหารประเภทนี้จะทำให้โปรตีนและแป้งที่รวมกันเป็นเนื้อเดียวจับตัวกันได้ มีความนุ่ม เม็ดอาหารมีความสม่ำเสมอ และป้องกันการสูญเสียคุณค่าทางอาหารเมื่ออยู่ในน้ำ
4. คุณค่าทางโภชนาการของปลาดุก
ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อยู่ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่งในประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลา ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อยู่ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่งในประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสมอง จะป้องกันการจับแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด วิตามิน และแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะควบคุมการทำงานของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติ 
ปลาดุกมีคุณค่าทางโปรตีนในปริมาณที่สูงมากกว่าปลาชนิดอื่นๆ เนื้อปลาดุก 100 กรัมจะประกอบขึ้นด้วยโปรตีนเป็นจำนวน 23.0 กรัม ขณะที่ ปลาตะเพียนมี 22.0 ปลากระบอก 20.7 ปลาช่อน 20.5 ปลาทู 20.0 เป็นต้น
4.1 เมนูปลาดุก
ปลาดุกมีเนื้ออกสีเหลือง นุ่ม รสชาติอร่อยมีโปรตีนสูง ปลาดุกสามารถนำมาทำอาหารไทยได้หลากหลายชนิด 







บทที่ 3

อุปกรณ์ และการทดลอง
          ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษา เรื่องการเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน  ซึ่งมีวิธีการดังนี้

วัสดุ
1)รำละเอียด     500 กรัม
2)ปลาป่น        500 กรัม
3)ปลายข้าว      500 กรัม
4)บ่อเลี้ยงปลา
5)ปลาดุก         50   ตัว
6)กล้วย           2     ลูก

อุปกรณ์
1)  ปลาดุกรัสเซียจำนวน  50 ตัว
2)   บ่อเลี้ยงปลา

การดำเนินการทดลอง
1.การทำอาหารปลา
1)เทปลาป่นใส่ในกะละมัง   500  กรัม

2)เทรำละเอียดผสมลงไปแล้วคนให้เข้ากัน 500 กรัม
3)ใส่ปลายข้าวประมาณ  500 กรัม คนให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำลงไป พอให้สามารถปั้นเป็นก้อนได้
4)ปั้นให้เป็นก้อนๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ก็สามารถใช้ได้
2.การเตรียมบ่อ และเลี้ยงปลา
1)เตรียมบ่อเลี้ยงปลา โดยหาอิฐบล็อกมากั้นเป็น 2 ฝั่ง แล้วใส่น้ำลงไป
2)ใส่ปลาฝั่งละ 25 ตัว

3)ให้อาหารทุกๆวัน โดยให้อาหารที่ทำเองในฝั่งหนึ่ง แล้วอีกฝั่งให้อาหารที่ซื้อมา โดยให้ทุกๆเช้า-เย็น
4)สังเกตการเจริญเติบโตของปลาทั้ง 2 ฝั่ง ทุกๆอาทิตย์
5)บันทึกผล





บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
          การวิเคราะห์ข้อมูล การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน  ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น  โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย  สุพรรณบุรี
ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของปลาดุกรัสเซียที่ใช้อาหารที่ทำเองเลี้ยง และอาหารที่มีตามท้องตลาดเลี้ยง (สัปดาห์ที่ 1)
อาหารปลาที่ใช้เลี้ยง
ความยาวของปลาในสัปดาห์ที่ 1 (ซม.)
อาหารปลาทำเอง
7.5
อาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
8

จากตาราง พบว่า อาหารปลาที่มีตามท้องตลาดทำให้ปลาดุกมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง
ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของปลาดุกรัสเซียที่ใช้อาหารที่ทำเองเลี้ยง และอาหารที่มีตามท้องตลาดเลี้ยง (สัปดาห์ที่ 2)
อาหารปลาที่ใช้เลี้ยง
การเจริญเติบโตของปลาในสัปดาห์ที่ 2 (ซม.)
อาหารปลาทำเอง
8
อาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
8.5

จากตาราง พบว่า อาหารปลาที่มีตามท้องตลาดทำให้ปลาดุกมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง
อาหารปลาที่ใช้เลี้ยง
ความยาวของปลาในสัปดาห์ที่ 3 (ซม.)
อาหารปลาทำเอง
8.5
อาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
9.5
ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของปลาดุกรัสเซียที่ใช้อาหารที่ทำเองเลี้ยง และอาหารที่มีตามท้องตลาดเลี้ยง (สัปดาห์ที่ 3)

จากตาราง พบว่า อาหารปลาที่มีตามท้องตลาดทำให้ปลาดุกมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง
อาหารปลาที่ใช้เลี้ยง
ความยาวของปลาในสัปดาห์ที่ 4 (ซม.)
อาหารปลาทำเอง
9
อาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
10.2
ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของปลาดุกรัสเซียที่ใช้อาหารที่ทำเองเลี้ยง และอาหารที่มีตามท้องตลาดเลี้ยง (สัปดาห์ที่ 4)

จากตาราง พบว่า อาหารปลาที่มีตามท้องตลาดทำให้ปลาดุกมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง
ตารางแสดงการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างอาหารปลาที่ทำเองและอาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
สิ่งของที่ซื้อ
ราคา (บาท)
รวม(บาท)
1.รำ
10
40
2.ปลาป่น
20
3.ปลายข้าว
10
4อาหารปลาที่มีตามท้องตลาด
65
65

จากตาราง พบว่า  อาหารปลาที่ทำเองมีต้นทุนถูกกว่าอาหารปลาที่มีตามท้องตลาด





บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อ 1.เพื่อศึกษาว่าอาหารปลาตามท้องตลาดกับอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง ชนิดไหนที่ปลาเติบโตได้ดีกว่ากัน 2.เพื่อศึกษาวิธีการทำอาหารปลา ในภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2558 ซึ่งสามารถสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะได้ดังนี้
          1.วัตถุประสงค์ของการศึกษา
          2.สมมติฐานของการศึกษา
          3.ขอบเขตการศึกษา
          4.วิเคราะห์ข้อมูล
          5.สรุปผลการศึกษา
          6.ข้อเสนอแนะ
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
          1.เพื่อศึกษาว่าอาหารปลาตามท้องตลาดกับอาหารปลาที่ทำขึ้นเอง ชนิดไหนที่ปลาเติบโตได้ดีกว่ากัน
          2.เพื่อศึกษาวิธีการทำอาหารปลา
สมมติฐานของการศึกษา
          ถ้าอาหารปลาที่ทำเองไดีกว่าอาหารปลาที่มีตามท้องตลาด แล้วปลาที่กินอาหารปลาที่ทำเองจะเจริญเติบโตดีกว่าปลาที่กินอาหารที่มีตามท้องตลาด
ขอบเขตการศึกษา
          จำนวนปลาตัวอย่าง 50 ตัว แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 25ตัว
          เลี้ยงในบ่อปูนซีเมนต์
วิเคราะห์ข้อมูล
          ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลของปลาที่มีต่อเรื่องการเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน เช่น แสงแดดที่มีผลต่อน้ำของปลา
สรุปผลการศึกษา
          ผลการศึกษาที่มีต่อกาศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน อยู่ในระดับคุณภาพ ดีน้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
การอภิปรายผล
          จาการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบระหว่างอาหารปลาจากธรรมชาติกับอาหารปลาที่ซื้อ ชนิดไหนปลาเจริญเติบโตได้ดีกว่ากัน
          1.อาหารที่ทำเอง ทำให้ปลาเจริญเติบโตได้น้อยกว่าอาหารปลาที่มีตามท้องตลาด อาจเป็นเพราะอาหารปลาที่ทำเองยังมีสารอาหารที่ปลาต้องการไม่มากพอ
          2.ราคาอาหารปลาที่ทำเองถูกกว่าอาหารปลาที่ซื้อมาจากท้องตลาด
ข้อเสนอแนะ
          1.ควรมีเวลาศึกษามากขึ้น
          2.ควรพัฒนาอาหารปลาที่ทำเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น




บรรณานุกรม
http://www.rakbankerd.com/agriculture/




ภาคผนวก